บทที่ 8
ขณะที่อัลเบอร์ต้ากำลังจัดการธุระส่วนตัว ลอว์เรนซ์ก็กำลังล่องลอยอยู่ในดินแดนแห่งความฝันบนดาดฟ้าชั้นล่างของเรือสำราญ
ความทรงจำที่สับสนปนเปของเขากลายเป็นความฝันอันยุ่งเหยิง จนกระทั่งสีน้ำเงินที่สาดเข้ามาทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น
มีบ้านหลังหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ เต็มไปด้วยอุปกรณ์โลหะสารพัดชนิด ผนังสีขาวเทาให้ความรู้สึกเหมือนคุกที่กักขังเด็กสาวคนหนึ่งไว้
เด็กสาวดูอายุราวสิบสามสิบสี่ปี มีใบหน้าน่ารักและแก้มแดงระเรื่อ เธอกำลังเริ่มแตกเนื้อสาว และชุดของเธอก็รัดรูป เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของวัยสาว
เธอเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในพื้นที่อันหนาวเย็นนี้
ความฝันนั้นเงียบงันราวกับภาพยนตร์ขาวดำยุคเก่า ลอว์เรนซ์ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นเด็กสาวคนนี้มาก่อนหรือไม่ แต่บรรยากาศเศร้าสร้อยของความฝันนั้นกระตุกหัวใจของเขา
เด็กสาวถือสีและพู่กัน ระบายสีผีเสื้อโลหะบนผนังให้เป็นสีน้ำเงินโคบอลต์ที่สวยงาม การแต้มสีเพียงครั้งเดียวนั้นได้เปลี่ยนความฝันขาวดำทั้งใบ ทำให้ทุกสิ่งดูแตกต่างออกไป
ผีเสื้อโลหะสีน้ำเงินมีชีวิตขึ้นมาในมือของเด็กสาว มันขยับปีกแล้วบินสูงขึ้นไป ลอว์เรนซ์รู้สึกราวกับว่าเขากลายเป็นผีเสื้อตัวนั้น ทะยานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ...
แล้วเสียงดังลั่นก็ปลุกลอว์เรนซ์ให้ตื่นขึ้น เขารู้สึกเหมือนตกลงมาจากที่สูง หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
เสียงนั้นดังมาจากข้างนอก ลอว์เรนซ์เช็ดหน้า ควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ แล้วปีนออกจากลังสินค้าเปล่าที่เขาซ่อนตัวอยู่
คนสองคนในชุดคลุมสีดำกำลังโต้เถียงกัน หน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความโกรธขณะถอดหมวกคลุมและหน้ากากออก
“เราทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ! บัตรเชิญนั่นหลอกเรา! เราไม่ได้มาแก้แค้นให้ใคร แต่เรากำลังฆ่าคนบริสุทธิ์!”
“ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกแล้ว! คนอื่นถูกจับตัวไปหมดแล้ว ถ้าเราไม่ทำตาม ครอบครัวกับลูกๆ ของเราต้องตาย! เราเกือบไม่รอดจากอุบัติเหตุเหมืองถล่ม เกาะสวรรค์คือความหวังเดียวของเรา!”
“ความหวังเหรอ? ไม่! ถ้าเกาะสวรรค์สามารถฆ่าคนและก่ออาชญากรรมได้อย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้ มันจะเป็นดินแดนในอุดมคติไปไม่ได้หรอก...”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องแก้แค้น!” ชายที่อายุน้อยกว่าขัดจังหวะเพื่อนที่แก่กว่า “ไม่อย่างนั้น คนงานเหมืองอย่างเราจะไปเอาปัญญาที่ไหนมาแก้แค้นได้? เจมส์ อย่าลืมความสิ้นหวังตอนที่ติดอยู่ในเหมืองสิ อย่าลืมเพื่อนของเราที่ตายไป” พูดจบ เขาก็สวมหน้ากากและหมวกคลุมกลับเข้าไปแล้วเดินจากไป
ชายที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังชื่อเจมส์ เมอร์เรย์ ดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปที่ลอว์เรนซ์ซึ่งแอบมองอยู่เงียบๆ จากมุมห้อง แล้วยิ้มขมขื่น “ได้ยินหมดแล้วสินะ?”
ลอว์เรนซ์พยักหน้า
เจมส์ดูเหมือนอยากจะพูดคุย “ไม่สงสัยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ลอว์เรนซ์ตอบอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เรื่องของผม”
เขาเป็นชายผู้ไม่มีอดีตและอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่แยแสและไม่สนใจผู้อื่น บางทีเขาอาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำแล้ว
“ก็ได้” เจมส์ไม่เซ้าซี้ต่อ “ฉันช่วยนายไว้ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน อยู่กับพวกเราไม่ปลอดภัยหรอก นายควรไปปะปนกับผู้เล่นคนอื่นๆ ถ้าชนะเกมได้ นายอาจจะได้กลับไปใช้ชีวิตในสังคมปกติ”
ลอว์เรนซ์ขอบคุณเขาเพียงสั้นๆ หลังจากเจมส์จากไป เขาก็หยิบผีเสื้อโลหะสีน้ำเงินโคบอลต์ออกจากกระเป๋าแล้วนั่งลงเงียบๆ จมอยู่ในความคิด
‘ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนเดียวกับในฝันของฉันหรือเปล่า?’
อัลเบอร์ต้าทำให้เซนต้องรอนานกว่ายี่สิบนาที
ในขณะที่เซนกำลังปัดป้องคนที่สี่ที่พยายามเข้ามาทักทาย ประตูที่อยู่ด้านหลังเขาก็เปิดออกในที่สุด
อัลเบอร์ต้าก้าวออกมา เธอสะพายเป้สีดำและจูงมือโรเดอริค
เซนเหลือบมองกลับเข้าไปในห้อง “มีของมีค่าอะไรอยู่ในนั้นรึเปล่า จะให้ใครช่วยเฝ้าไว้ให้ไหม”
“ไม่ต้องหรอก” อัลเบอร์ต้าล็อกประตูแล้วถาม “คุณคิดจะไปจ้างใครเหรอ”
“มีผู้เล่นบางกลุ่มที่เป็นอดีตทหารหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชีวิตรอด พวกเขายินดีรับงานแบบนี้ ถ้าเราอยากจะจ้างก็ต้องรีบหน่อยนะ ถ้าช้าไป พวกคนรวยที่อยู่ชั้นบนๆ คงแย่งตัวไปหมด” เซนอธิบาย
อัลเบอร์ต้าหัวเราะเบาๆ “พวกคนรวยนั่นพาบอดี้การ์ดมาตั้งเยอะแยะ ยังไม่พออีกเหรอ”
เซนนึกถึงภาพตอนที่พวกเขาขึ้นเรือ ซึ่งมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยบอดี้การ์ดเกือบร้อยคน
“ตอนแรกผมก็ว่ามันเว่อร์ไป แต่ตอนนี้กลับอิจฉาแฮะ คนรวยนี่มันดีจริงๆ” เซนถอนหายใจ แล้วถามขึ้นมาลอยๆ “คุณรู้ไหมว่ามหาเศรษฐีคนนั้นเป็นใคร คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเขานะ ลอเรนโซ พาล์มเมอร์ เจ้าพ่อเหมืองแร่ที่มีทรัพย์สินกว่าแสนล้านดอลลาร์!”
อัลเบอร์ต้าเคยได้ยินชื่อเขามาจริงๆ เมื่อหลายปีก่อน เกาะสวรรค์เคยจัดให้ลอเรนโซเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เธอต้องไปยั่วยวน
เท่าที่เธอรู้ ลอเรนโซมีภรรยาน้อยและลูกนอกสมรสมากมาย สินทรัพย์เหมืองแร่มหาศาลของเขาก็ถูกแบ่งสรรปันส่วนไปจนแทบไม่เหลือแล้ว
“เขาทำอะไรตามใจตัวเองได้เสมอ” เซนยังคงพูดรำพึง เขาสนใจเรื่องของลอเรนโซก็เพราะเจ้าพ่อมาเฟียคนนั้น
เขาสงสัยเกี่ยวกับตัวอักษร 'แอล' บนโน้ตแผ่นนั้น หลังจากไปสืบข่าวมา เขาก็ได้รู้ว่าเจ้าพ่อมาเฟียคนนั้นอยากจะร่วมธุรกิจกับลอเรนโซมาตลอด แต่ลอเรนโซไม่เคยสนใจเลย ชื่อของลอเรนโซขึ้นต้นด้วยตัว 'แอล' เป็นไปได้ไหมว่า 'แอล' ก็คือลอเรนโซ
“ว่าแล้ว ถ้าลอเรนโซยังไม่พอใจกับบอดี้การ์ดเป็นร้อยคนแล้วอยากจะจ้างผู้เล่นไปคุ้มกัน เขาอาจจะจ้างคุณก็ได้นะ!” เซนพูดอย่างตื่นเต้น “คุณเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลจนเกมต้องประกาศออกมาเลยนะ!”
“รางวัลเหรอ ฉันได้อะไรล่ะ” อัลเบอร์ต้าไม่ได้สนใจเกียรติยศนั้น “การทำตัวโดดเด่นมักจะทำให้ตกเป็นเป้า ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด”
ขณะที่พวกเขาเดินไปยังล็อบบี้ชั้นสอง อัลเบอร์ต้าก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของนาฬิกาดิจิทัลเรือนใหญ่บนผนัง ตัวเลขบนนั้นเปลี่ยนเป็น 2681 แล้ว
เธอเห็นว่าเซนเป็นคนที่รู้ข้อมูลเยอะและสืบข่าวเก่ง เธอจึงเอ่ยปากถาม “นั่นมันอะไรน่ะ”
เซนรู้เรื่องนี้จริงๆ “มีคนเห็นมันครั้งแรกตอนเจ็ดโมงเช้า ตอนนั้นตัวเลขอยู่ที่ 2727 แล้วมันก็ลดลงมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่ 2681 นี่แหละ มีคนเดาว่ามันคือจำนวนผู้เล่นในเกมทั้งหมด”
อัลเบอร์ต้าพยักหน้าเห็นด้วย “น่าจะใช่”
เซนงุนงง “แต่ตอนขึ้นเรือมามีคนอย่างน้อยสามพันคนเลยนะ!”
อัลเบอร์ต้าตอบกลับอย่างใจเย็น “แต่บางคนก็ไม่มีบัตรเชิญนี่”
ถ้าหากนับเฉพาะคนที่มีบัตรเชิญว่าเป็น ‘ผู้เล่น’ ตัวเลขบนหน้าจอก็น่าจะหมายถึงจำนวนผู้เล่นทั้งหมด
นั่นหมายความว่าในวันแรกมีผู้เล่นเสียชีวิตไปแล้ว 46 คน แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น บอดี้การ์ด สาวใช้ หรือคนที่ติดตามครอบครัวหรือเพื่อนขึ้นเรือมาโดยไม่มีบัตรเชิญ ซึ่งไม่ถูกนับรวมเข้าไปด้วย
อัลเบอร์ต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถ้าเกาะสวรรค์ต้องการสร้างความหวาดกลัว ก็น่าจะนับรวมทุกคนบนเรือ ในวันแรกน่าจะมีคนตายมากกว่า 46 คน ยิ่งมีคนตายมากเท่าไหร่ บรรยากาศก็จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น แต่เกาะสวรรค์กลับเลือกที่จะไม่นับคนที่ไม่มีบัตรเชิญ บางทีอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะความคิดของเธอ “คุณคือคุณอัลเบอร์ต้าใช่ไหมครับ ผมคือหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของคุณพาล์มเมอร์ คุณพาล์มเมอร์ต้องการจ้างคุณให้มาร่วมทีมกับเรา”






















































































































































































































